เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ETC
ETC (Education Technology and Communication) แปลเป็นภาษาไทย คือ เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วย การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการสื่อสารเพื่อการศึกษา โดย เน้นการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบและส่งเสริมระบบ การเรียนการสอน เน้นที่วัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่ สามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน มีการยึดหลักผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนมากกว่ายึดเนื้อหาวิชามีการใช้ การศึกษาเชิงปฏิบัติโดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้โสตทัศนูปกรณ์รวมถึงเทคนิค การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ
ขอบข่าย ของ ETC ในปัจจุบันได้มาจากการประยุกต์องค์ความ รู้ทางด้าน ICT เพื่อการบริหารจัดการ การพัฒนา การออกแบบโมเดลต่างๆที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ดังเห็นได้จากการให้ความสนใจกับการใช้ เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ของผู้เรียน การส่งเสริมความพร้อมทางระบบ คอมพิวเตอร์ การมี เครือข่ายเชื่อมโยงเข้าอินเทอร์เน็ตได้โดยสะดวก ผู้เรียน จึงมีโอกาสเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี และมีโอกาสใช้ได้เต็มที่
สาระสำคัญ
1. เทคโนโลยี เป็นวิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการนำเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมและทางปฏิบัติ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง ทำให้มีการใช้เทคโนโลยีในสาขาต่าง ๆ เฉพาะทางเช่นการแพทย์ การกีฬา การสงคราม การศึกษา เป็นต้น
2. เทคโนโลยีการศึกษา เป็นกระบวนการที่พัฒนาระบบ และวิธีการตลอดจนการนำเครื่องมือและอุปกรณ์มาใช้ในการเรียนการสอน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา ประกอบด้วย ทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ การเรียนรู้แบบรายบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาของโลกในอนาคต รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในด้านความรู้ ค่านิยม เศรษฐกิจ สังคม โดยเน้นกระบวนการพัฒนาคนมากขึ้น
4. เทคโนโลยีการศึกษาในประเทศไทย มีแนวโน้มในการสนองความต้องการเป็นรายบุคคล และให้ความสำคัญต่อการนำไปใช้ในการจัดการศึกษามากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ETC ใน การศึกษาต่างประเทศ และการศึกษาไทยในปัจจุบัน
ประเทศไทยส่วนใหญ่เรารับปรัชญาและระบบวิธีการ จัดการศึกษามาจากต่างประเทศ รวมไปถึงการรับเอา เทคโนโลยีและระบบการสื่อสาร มาเป็นเครื่องมือช่วยใน การเรียนการสอน ทำให้ลักษณะมีความคล้ายคลึงกับต่าง ประเทศในส่วนหนึ่ง และสามารถแบ่งการใช้ ETC ใน ลักษณะ 3 ประการ คือ
1.การเรียน รู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่เรียน รู้ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้จนสามารถใช้ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ทำระบบข้อมูลสารสนเทศเป็น สื่อสารข้อมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น
2.การเรียน รู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่การเรียน รู้ความรู้ใหม่ ๆ และฝึกความสามารถ ทักษะ บางประการโดยใช้สื่อเทคโนโลยี เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรียนรู้ทักษะ ใหม่ ๆ ทางโทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม การค้นคว้าเรื่องที่สนใจผ่าน Internet เป็นต้น
3.การเรียน รู้ไปกับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่ การเรียนรู้ด้วยระบบการสื่อสาร 2 ทาง (interactive) กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักษะภาษากับโปรแกรมที่ให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความถูกต้อง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญหากับสถานการณ์จำลอง (Simulation) เป็นต้น
ขอบข่ายทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ขอบข่ายการวิจัยทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาประมวลออกเป็นขอบข่ายตามแนวตั้ง แนวนอน และแนวลึก เกิดเป็นมิติขอบข่ายเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาขึ้น ดังแสดงในภาพที่ 1

การจำแนกขอบข่ายตามแนวตั้งของการวิจัยทางเทคโนโลยี และสื่อสารการศึกษากระทำได้หลายทางที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทาง เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ขอบข่ายตามแนวตั้งครอบคลุม การวิจัยด้านการจัดระบบทางการศึกษา การวิจัยด้านพฤติกรรมการเรียนการสอน วิธีการสอนสื่อสารการศึกษา สภาพแวดล้อมทางการศึกษา การจัดการด้านการเรียนการสอนและการประเมินการศึกษา
การจัดระบบ เป็นแขนงวิชาในสาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาที่อาจถือเป็นเครื่องมือสำคัญของแขนงวิชาอื่น เพราะการดำเนินงานและการแก้ปัญหาจำเป็นต้องใช้การจัดระบบการพัฒนาระบบ และการออกแบบระบบมาใช้ ขอบข่ายการวิจัยในด้านนี้จึงมุ่งที่การจัดระบบ การพัฒนาระบบ และการออกแบบระบบขั้นใหม่
การจัดระบบ (Systems Approach) เป็นการวางแผนการพัฒนาระบบใหม่หรือปรับปรุงระบบที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น ด้วยการกำหนดปรัชญา ปณิธาน จุดมุ่งหมาย องค์ประกอบ ภาระหน้าที่ ความสัมพันธ์/ปฏิสัมพันธ์ ขั้นตอน ปัจจัยเกื้อหนุนและแนวทางการประเมินและควบคุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือแก้ปัญหาการดำเนินงาน การจัดระบบมีความสำคัญในการกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่มีคุณภาพ การจัดระบบมีขอบข่าย ระดับ และองค์ประกอบระบบที่เด่นชัดและครอบคลุมการดำเนินงานทุกแง่มุม โดยมีขั้นตอนหลักที่ครอบคลุม การวิเคราะห์ระบบ การสังเคราะห์ระบบ
การสร้างแบบจำลองระบบ และการทดสอบระบบในสถานการณ์จำลอง
การพัฒนาระบบ (Systems Development) เป็นการสร้างระบบขึ้นมาใหม่หรือเป็นการปรับปรุงระบบที่มีอยู่แล้วให้ทำงานได้ดีขึ้น การพัฒนาระบบมีวิธีการหลายวิธี แต่หากต้องการระบบที่มีคุณภาพจำเป็น ต้องใช้วิธีการจัดระบบเป็นเครื่องมือ
การออกแบบระบบ (Systems Design) เป็นขั้นตอนหนึ่งของการสังเคราะห์ระบบและการสร้างแบบจำลองระบบที่เกี่ยวข้องกับการนำองค์ประกอบมาจัดเรียงลำดับให้อยู่ในขั้นตอนที่เหมาะสม เพื่อจะให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พฤติกรรมการเรียนการสอน การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่เป็นประโยชน์การวางแผนและจัดสภาพการณ์ให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมถึงเป็นเทคโนโลยีที่ท้าทาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักจิตวิทยาเริ่มใช้ “เทคโนโลยีแห่งการศึกษา” (Technology of Education) ขึ้น การวิจัยในขอบเขตนี้ มุ่งไปที่การศึกษาค้นคว้ารูปแบบพฤติกรรมการเรียน (Learning Behavior) ที่เกี่ยวกับผู้เรียนและพฤติกรรมการสอน (Teaching Behavior) ที่เกี่ยวกับครูบาอาจารย์ และการประยุกต์รูปแบบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแต่ละประเภทก็ต้องใช้รูปแบบการสอนที่แตกต่างกัน เช่น ครู
วิธีการ ครอบคลุม วิธีการศึกษาโดยทั่วไปและวิธีการเรียนการสอน
วิธีการเรียนการสอน (Instructional Methods/Techniques) ประยุกต์แนวคิดและหลักการทางการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมาใช้เป็นเครื่องมือ สื่อหรือช่องทางในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระและประสบการณ์
การวิจัยของนักเทคโนโลยีการศึกษาในแขนงนี้จึงมุ่งไปที่การค้นหาวิธีการสอนแบบใหม่ ทั้งที่เป็นระบบการสอนแบบครบวงจรและ ที่เป็นเพียงเทคนิค และวิธีการสอนเฉพาะเรื่อง สำหรับนำไปใช้ในระบบการสอนที่มีผู้คิดขึ้นมาแล้ว เช่น วิธีการสอนแบบกลุ่ม วิธีการสอนแบบโครงการ วิธีการสอนแบบเบญจขันธ์ การจำลองสถานการณ์ รายกรณี ศึกษา เกม การพัฒนาโครงการจากกรณีงาน (PCW-Project Casework Approach) เป็นต้น
การสื่อสาร ครอบคลุม การสื่อสารการศึกษาและการสื่อสารการสอน แต่นิยมใช้คำว่า “การสื่อสารการศึกษา” เพื่อแทนทั้งสองกลุ่ม
สื่อสารการศึกษา (Educational Media) เป็นขอบข่ายของเทคโนโลยีการศึกษาที่รู้จักกันมากโดยเฉพาะคำว่า อุปกรณ์การสอน โสตทัศนูปกรณ์ ฯลฯ สื่อการศึกษา และสื่อการเรียนการสอนที่ถือเป็นเครื่องมือและเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการสอน และวิธีการสอนทุกรูปแบบที่ได้พัฒนาขึ้นแล้ว หรือที่จะต้องพัฒนาขึ้น สื่อมีหลายประเภท แต่สื่อที่ครูและนักเรียนรู้จักกันดี คือ กระดานแบบเรียน/ตำรา และตัวครูเอง
การวิจัยในขอบข่ายนี้ จึงมุ่งไปที่การพัฒนาประเภทและรูปแบบสื่อการสอนใหม่และเปรียบเทียบผลกระทบของสื่อการสอนประเภทต่างๆ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่อพฤติกรรมการบริหารนักวิชาการและนักบริหารสภาพแวดล้อมทางการศึกษา ครอบคลุมประเภทและการจัดการ โดยประเภทอาจจำแนกเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางจิตภาพ และสภาพแวดล้อมทางสังคม
สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ แหล่งการเรียนรู้ในชุมชนบริเวณโรงเรียน สนาม อาคารเรียน ห้องสมุด ศูนย์วิทยบริการ ห้องปฏิบัติการ และห้องเรียน
สภาพแวดล้อมทางจิตภาพ ได้แก่ บรรยากาศ ความอบอุ่นทางใจ ความไว้วางใจ ความกระตือรือร้น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ฯลฯ
สภาพแวดล้อมทางสังคม หมายถึง ขนบธรรมเนียมประเพณี กฎ ระเบียบ ความสัมพันธ์ที่กระทบสมาชิกในสังคม โดยการจัดการ เป็นการจัดสภาพแวดล้อมทางการศึกษา ซึ่งเป็นการจัดภาวะที่อยู่รอบตัวผู้เรียนและผู้สอนที่อาจเป็นหรือไม่เป็นองค์ประกอบของการเรียนการสอนโดยตรง แต่เกื้อหนุนให้เกิดการเรียนรู้หรือเป็นแหล่งการเรียนรู้การวิจัยในขอบข่ายนี้ จึงเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยหารูปแบบการจัดห้องเรียน ห้องฝึกอบรม การจัดแหล่งวิทยบริการ ห้องสมุดหรือศูนย์วิทยบริการ ห้องปฏิบัติการ พิพิธภัณฑ์และอุทยาการศึกษาที่จะเอื้อต่อการเรียนรู้มากที่สุด หากไม่สามารถจัดสภาพแวดล้อมจริง ก็ต้องจำลองสถานการณ์สภาพแวดล้อมจำลองขึ้น เช่น การจัดบริษัทจำลองสำหรับนักศึกษาที่เรียนด้านธุรกิจและการจัดการ การจัดห้องฝึกบินจำลอง (Simulation) เป็นต้น
การจัดการ “การจัดการ” (Management) ครอบคลุม การจัดการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน โดยมุ่งที่การจัดหาและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยที่การจัดการศึกษา เป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ภารกิจของนักเทคโนโลยีการศึกษาจึงเน้นการเรียนการสอน (Learning Management) เกี่ยวข้องกับการจัดทรัพยากรคน คือ ครูกับนักเรียน และทรัพยากรในรูปอื่นคือ เวลา อาคาร สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี และมากที่สุดในเวลาที่น้อยที่สุด
การวิจัยด้านการจัดการด้านการเรียนรู้จึงมุ่งที่การจัดการนำหลักสูตรมาใช้ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ หลักสูตรที่ได้พัฒนามาอย่างดี และระบบการสอนที่มีคุณภาพ หากขาดการจัดการที่ดีก็อาจด้อยประสิทธิภาพอย่างน่าเสียดาย
การประเมิน การประเมินการศึกษาครอบคลุม การประเมินที่ครบวงจร คือ การประเมินปัจจัยนำเข้า การประเมินกระบวนการ และการประเมินผล ทั้งที่เป็นการประเมินในวงกว้าง คือ การประเมินการศึกษา และในวงแคบ คือ การประเมินการเรียนการสอน
การวิจัยในขอบข่ายนี้ จึงมุ่งที่จะได้รูปแบบการวัดและการประเมิน การวิเคราะห์และแปลผลการสรุป และการนำผลมาพยากรณ์กิจกรรมที่เกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนการสอน งานวิจัยส่วนใหญ่ดำเนินการโดยนักวัดและประเมินผล
ขอบข่ายในแนวนอนของการวิจัยทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ขอบข่ายในแนวนอนจำแนกเป็นด้านบริหาร ด้านวิชาการ และด้านบริการ
ขอบข่ายทางด้านบริหาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเป็นเครื่องมือในการจัดระบบการบริหารการกำหนดพฤติกรรมการบริหาร วิธีการบริหาร การสื่อสารในองค์กร การจัดสภาพแวดล้อมด้านการบริหาร การจัดการ และการประเมินการบริหาร
การวิจัยในขอบข่ายนี้ จึงมุ่งที่จะหารูปแบบการบริหารที่เหมาะสมด้วยการหาระบบใหม่ รูปแบบพฤติกรรมการบริหาร วิธีการบริหารและจัดการ ฯลฯ เพื่อช่วยผู้บริการให้สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
14
ขอบข่ายทางด้านวิชาการ เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเป็นเครื่องมือในการจัดระบบงานทางวิชาการ อาทิ การพัฒนาหลักสูตร การผลิตงานทางวิชาการ ฯลฯ ในการกำหนดพฤติกรรมครูและนักเรียน ในการกำหนดวิธีการเรียนการสอนในการสื่อสารการเรียนการสอน การจัดสภาพแวดล้อมด้านการเรียนการสอน การจัดการด้านการเรียนการสอน และการประเมินการเรียนการสอน
การวิจัยในด้านนี้ จึงมุ่งในการจัดระบบหารูปแบบงานวิชาการ เช่น รูปแบบหลักสูตรและการสอน การกำหนดวิธีสอน การใช้สื่อการสอน การจัดสภาพแวดล้อม และการประเมินการเรียนการสอน เป็นต้น
ขอบข่ายทางด้านบริการ เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาเป็นเครื่องมือในการจัดระบบงานบริหาร การกำหนดพฤติกรรมการบริการ วิธีการบริการ การสื่อสารในการให้บริการ การจัดสภาพแวดล้อมด้านการบริการ การจัดการด้านการให้บริการ และการประเมินการบริการ
การวิจัยเกี่ยวกับการบริการ จึงมุ่งไปที่การหาข้อมูลที่จะนำมาเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ เช่น การจัดระบบและรูปแบบ วิธีการ การจัดสภาพแวดล้อม และการประเมินการให้บริการครูและนักเรียน ในด้านเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เป็นต้น

ขอบข่ายในแนวลึกของการวิจัยทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาใน
(1) การ ศึกษาในระบบโรงเรียนซึ่งจำแนกออกตามระดับเป็นการใช้เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาในระดับปฐมวัยศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา
(2) การศึกษานอกระบบโรงเรียน
(3) การฝึกอบรม
(4) การศึกษาทางไกล

ภาพที่ 3 ขอบข่ายตามแนวลึกของการวิจัยทางเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยี การศึกษากับเทคโนโลยีการเรียนการสอน
เทคโนโลยีการศึกษามีความ หมายกว้างขวางกว่าเทคโนโลยีการเรียนการสอน (instructional technology) ซึ่งหมายถึง มโนทัศน์ ทฤษฎีและสาขาวิชาที่มุ่งนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ภายใต้ เงื่อนไขของการควบคุม และตรงเป้าหมาย (AECT, 1977 : 3)การใช้คำทั้งสอง บางครั้งใช้แทนกันได้ แต่เทคโนโลยีการเรียนการสอนมีความหมายในวงแคบกว่า เหมือนกับคำว่า การศึกษา (education) กับการเรียนการสอน (instruction) นั่นเอง
ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีการศึกษากับเทคโนโลยีปฏิบัติการ (Performance Technology)
เทคโนโลยีปฏิบัติการ มีต้นกำเนิดจากการฝึกอบรมของสถานประกอบการ และการพัฒนาองค์การ Performance Technology หรือ PT หมายถึงวิธีการองค์รวมที่ช่วยให้มนุษย์ปฏิบัติงานได้ดีขึ้น ด้วยวิธีหลากหลาย เช่น การสอน การช่วยเหลือขณะทำงาน การสร้างแรงจูงใจให้ทำงาน ฯลฯ ดังนั้น PT จึงอธิบายความได้ว่า PT ใช้เครื่องมือของเทคโนโลยี และการวิเคราะห์ การออกแบบ และการประเมินกระบวนการอย่างมีเป้าหมาย เพื่อเชื่อมโยงกับการฝึกอบรม การออกแบบสิ่งแวดล้อมใหม่ ระบบการป้อนกลับ หรือระบบการ จูงใจเพื่อใช้วัด การปฏิบัติการ และสร้างความน่าเชื่อถือของวิธีการที่จะนำมาประยุกต์ใช้ (Stolovitch and Keeps, 1992) การฝึกอบรม (training) เป็นวิธีการหนึ่งในหลากหลายของวิธีการองค์รวมของ PT แนวพิจารณานำการฝึกอบรมมาใช้ใน PT ต้องพิจารณาอย่างเป็นระบบเหมือนกับการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบใน เทคโนโลยีการสอน ดังนั้น PT จึงมีความหมายกว้างขวางครอบคลุมเอาเทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีการสอนซึ่งมีบทบาทจำเพาะในมิติของการทำให้องค์การพัฒนาดียิ่งขึ้น
สมมุติฐาน เบื้องหลังของการกำหนดนิยาม
ทางเลือกของคณะกรรมการกำหนดนิยามทาง เทคโนโลยีของ AECT มองแยกเป็นสองประเด็น คือ
ลักษณะแรก : การให้นิยามง่ายๆ ให้คนทั่วไปที่ไม่มีความเชี่ยวชาญจำเพาะใดๆ ก็เข้าใจได้ หรือในอีกมุมมองหนึ่ง เป็นการให้นิยามโดยใช้ภาษาเทคนิคอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน ต่อมามีการนิยามโดยการกำหนดเกณฑ์องค์ประกอบของมโนทัศน์ และขอบเขตของแนวคิดมากกว่าการนิยามจากการสังเกตของบุคคลที่ปฏิบัติการจริงๆ
ลักษณะ ที่สอง : การให้นิยามแบบชัดเจนรัดกุม ไม่คลุมเครือ เพื่อเป็นการขีดวงว่าสิ่งใดใช่หรือไม่ใช่ อะไรเป็นแก่นอะไรเป็นกระพี้
ลักษณะ ที่สาม : เป็นการนิยามที่แตกต่างห่างไกลจากคำนิยามของ AECT ยุคก่อนๆ โดยมุ่งอธิบายคุณค่าของแก่นแท้ของเทคโนโลยีการศึกษา การนำเทคโนโลยีซึ่งถือว่ามีคุณค่าแบบพลังเป็นกลาง (value neutral force) มาใช้ในการศึกษาจะก่อให้เกิดคุณค่าทั้งผู้เรียน และระบบการศึกษาโดยรวม ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องให้การศึกษาแก่มนุษย์ในลักษณะเยี่ยง เทคโนโลยี (technologically) ( ซึ่งเป็นการกระทำต่อมนุษย์เยี่ยงเครื่องยนต์กลไก) (ผู้แปล) เป็นเพียงแค่การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงคุณภาพของประสบการณ์ของผู้เรียน และทำให้องค์การพัฒนาในทางที่ดีขึ้น
ลักษณะที่สี่ : เป็นนิยามล่าสุดของ AECT กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีการเรียนการสอน เป็นทฤษฎี และปฏิบัติการออกแบบ พัฒนาใช้ประโยชน์ บริหารจัดการ และประเมินผลของกระบวนการ และแหล่งทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ (Seel and Richey, 1994) นิยามดังกล่าว ได้รวมเอาองค์ประกอบของทุกนิยามเข้าไว้ด้วยกัน แม้ว่าอาจใช้ถ้อยคำ สำนวนที่แตกต่างกัน และอาจมีบางส่วนเพิ่มเติมเข้ามา นิยามในปัจจุบันเป็นการปรับปรุงนิยามของปี 1994 ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนมโนทัศน์โดยสิ้นเชิง การกระทำดังกล่าวเป็นแบบวิวัฒนาการ (evolutionary) แบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการปฏิวัติ (revolutionary) ทันทีทันใด
ลักษณะ ที่ห้า : การให้นิยามใหม่มีความอ่อนไหวต่อการรับรองมาตรฐานของโปรแกรมเทคโนโลยีการ ศึกษาในมหาวิทยาลัย มาตรฐานเทคโนโลยีการเรียนการสอน และการสื่อสารเพื่อการศึกษา ปี 2000 (ECIT : The Educational Communications and Instructional Technology Standards) ระบุว่า โปรแกรมดังกล่าวต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความรู้ของสาขาวิชา ฐานความรู้ของสาขาวิชา แบ่งออกได้เป็น 5 องค์ประกอบ หรือพิสัย (domain) คือ การออกแบบ พัฒนา การนำไปใช้ การจัดการ และการประเมิน โดยอาศัยนิยามของ AECT ในปี 1994 เป็นแนวทางสำหรับการนิยามในอนาคตได้อีกด้วย คณะกรรมการ นิยามศัพท์ของ AECT เสนอแนะว่า การให้นิยามในอนาคตควรต้องนำเอาพันธกิจของสมาคมมาเป็นแนวพิจารณาที่ว่า : เพื่อเป็นการสร้างภาวะผู้นำนานาชาติ โดยส่งเสริมความเป็นนักวิชาการ (scholarship) และแนวปฏิบัติอันยอดเยี่ยมในการสร้างสรรค์ การใช้ประโยชน์ และการบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิผลของการสอน และการเรียนรู้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
ประเด็นสุดท้าย นิยามใหม่ของเทคโนโลยีการศึกษา ควรนำแนวคิด และผลงานของสมาชิกของ AECT และบุคคลอื่นๆ ที่ทำงานในสาขาเทคโนโลยีการศึกษามารวมไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็ไม่ไปยึดถือเอาชื่อจัดตั้งของภาควิชา หรือองค์การใดมาเป็นสรณะ
จุดประสงค์เทคโนโลยีการศึกษาในการให้คำนิยามในโครงการนี้ มีจุดประสงค์หลายประการ เช่น
1) เพื่อเป็นการตีเส้นแยกสาขาเทคโนโลยีการศึกษาออกจากสาขาวิชาอื่นๆ
2) เพื่อส่งเสริมให้สาธารณชนยอมรับสาขาวิชาฯ
3) เพื่อเป็นการรับสมัครผู้เรียนและนักปฏิบัติเข้าสู่วงการ
4) เพื่อกำหนดพารามิเตอร์ของการกำหนดมาตรฐานรับรองเครดิตของสาขาวิชาฯ
5) เพื่อกำหนดคำศัพท์วิชาการ (terminology) เพื่อการอภิปรายในสาขาวิชาฯ และ
6) เพื่อเป็นการบอกกล่าวผู้เรียน หรือบุคคลอื่นๆที่เข้ามาใหม่ในวงการได้รู้จักแนวคิดหลักๆ และคุณค่าที่เราเชื่อถือ วัตถุประสงค์ทั้ง 6 ประการนำไปใช้กับผู้เรียนในสาขาวิชาฯ อาจารย์ผู้สอน ผู้ร่วมงาน นักบริหารการศึกษาที่เราเกี่ยวข้องด้วย นักปฏิบัติการในสถานประกอบการ ทหาร และส่วนอื่นๆขององค์การ ซึ่งเป็นบุคคลหลากหลายระดับความรู้
ความคาดหวังในการใช้เทคโนโลยีการศึกษาและการสอน
การนำสื่อ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์และสื่อโสตทัศน์อื่นๆ เข้ามาใช้ในการศึกษานั้น ได้มีผู้ให้เหตุผลไว้ต่างๆ กัน บางเหตุผลอาจจะสมเหตุผล แต่ก็มีไม่น้อยที่ยังเป็นข้อสงสัยและต้องการคำอธิบายซึ่งโดยความหมายแล้ว สื่อเป็นเพียงพาหะส่งผ่านความรู้ ผู้สอนจึงเป็นสื่อด้วย ดังนั้นเมื่อมีการใช้สื่อในห้องเรียน สื่อจะเข้ามาทดแทนหน้าที่ของผู้สอน ซึ่งเป็นสื่อในห้องเรียนอยู่แล้ว แนวคิดในเรื่องการเรียนการสอนจึงมีการปรับเปลี่ยนด้วยการพัฒนาระบบการเรียนการสอน และ การใช้สื่อของผู้สอน แนวคิดใหม่นี้เป็นที่ยอมรับกันในลักษณะของ เทคโนโลยีการสอน
นอกจากนั้น ในการจัดการศึกษาและการเรียนการสอนนั้น มีสิ่งหนึ่งที่สังคมเฝ้ามองอยู่ก็คือการลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อการศึกษา เมื่อนำสื่อและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ โดยสังคมคาดหวังว่าหลังจากที่จัดหาเครื่องมือ พัฒนาวัสดุและอบรมครูในการใช้สื่อแล้วค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดการศึกษาน่าจะลดลงประการสุดท้าย เมื่อนำสื่อและเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้ว ปัญหาทางการศึกษาต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียนการสอนควรจะลดลงหรือได้รับการแก้ไข เช่นเดียวกันกับงานแขนงอื่น ๆในสังคม เช่น การขนส่ง การอาหารและการวางแผนครอบครัว เป็นต้น เมื่อนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยในการแก้ปัญหาแล้วเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นได้ ดังนั้น เมื่อนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้าไปแก้ปัญหาการศึกษาและการเรียนการสอนแล้ว จึงมีการคาดหวังว่า เทคโนโลยีการศึกษาน่าจะส่งผลดีต่อการปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน และการศึกษาได้เช่นกัน
ปัญหาของเทคโนโลยีการศึกษาในปัจจุบัน
1. วัตถุประสงค์ไม่ชัดเจน กล่าวคือ คนส่วนใหญ่ไม่ทราบกันอย่างชัดเจนว่า ทำไมต้องใช้
เทคโนโลยีการศึกษาในการเรียนการสอน เมื่อกล่าวถึงเรื่องเทคโนโลยีการศึกษา เรามักจะนึกถึงสื่อมากกว่าที่จะนึกถึงเรื่องวิธีระบบในการพัฒนาการเรียนการสอน บางทีหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับการศึกษาอาจให้ความสำคัญในเรื่องนี้ไม่ชัดเจนพอ
2. เน้นเรื่องสื่อ ในการนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาใช้ คนส่วนใหญ่มักจะเน้นในเรื่องสื่อ มากกว่าการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอน ที่บูรณาการสื่อเข้าไว้ในฐานะทรัพยากรการเรียนเช่น เมื่อจัดการเรียนการสอนแทนที่จะพิจารณาในเรื่องการออกแบบระบบการเรียนการสอน กลับไปนึกถึงเรื่องของสื่อก่อนเป็นต้น
3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การนำเทคโนโลยีการศึกษา เข้าไปพัฒนาการศึกษาและการ
เรียนการสอนอย่างได้ผลนั้น พฤติกรรมการสอนของครูต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ครูส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการเพิ่มภาระ จึงทำให้ไม่นิยมใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง
4. ระบบการสนับสนุนไม่ดีพอ แนวความคิดต่างๆตลอดจนทรัพยากรการเรียนการสอนที่
ดี ที่นำมาใช้ในการพัฒนาระบบการเรียนการสอน หากขาดการจัดระบบการสนับสนุน และการให้ความช่วยเหลือที่ดีและอย่างสมำสมอ การดำเนินงานย่อมบรรลุจุดมุ่งหมายได้ยาก
5. ขาดทักษะ การใช้เทคโนโลยีใหม่ผู้ใช้จำเป็นต้องได้รับการอบรมให้มีทักษะอย่างเพียงพอเสียก่อน
6. ค่าใช้จ่าย การปรับปรุงและพัฒนา จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมบ้าง หากเตรียมแผน
งานด้านงบประมาณไม่ดีพอ การดำเนินงานโครงการการนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้าไปใช้แก้ปัญหาทางการศึกษา อาจล้มเหลวได้
7. สื่อวัสดุ (Software) หรือคอร์สแวร์ (Courseware) มีคุณภาพไม่ดีพอ หมายถึง เมื่อจัดหาเครื่องมือต่างๆ พร้อมแล้ว ก็มีปัญหาเรื่องสื่อวัสดุที่ใช้กับเครื่องมือนั้น หากต้องสั่งวัสดุจากต่างประเทศก็มีปัญหาเรื่องภาษา และวัฒนธรรม หากผลิตเองก็มีปัญหาทั้งเรื่องเครื่องมือ วัสดุ งบประมาณและบุคลากรที่จะดำเนินการผลิตสื่อให้ได้คุณภาพตามต้องการ
8. การปฏิบัติงานไม่เน้นระบบ การแก้ปัญหาการศึกษาด้วยการนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้า
มาใช้นั้น ต้องดำเนินงานในลักษณะของระบบ กล่าวคือ ในการปฏิบัติงานนั้น ต้องพิจารณาทั้งในลักษณะของจุดมุ่งหมายรวมและพิจารณาจุดมุ่งหมายรายข้อไปด้วย ไม่ใช่พิจารณาแก้ไขตามจุดมุ่งหมายเป็นข้อๆไปเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์เทคโนโลยีการศึกษา
นักการศึกษาพบว่า การที่จะปรับปรุงคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้นได้นั้น ต้องปรับปรุงทั้งระบบ กล่าวคือ ในการสอนด้วยวิธีสอนต่างๆ นั้น เราไม่อาจจะใช้เครื่องมือหรือเครื่องจักรกลตามสมัยนิยมได้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของระบบและกระบวนการจัดการศึกษาอย่างแท้จริงทั้งนี้เพราะวัสดุหลักสูตร (รวมทั้งสื่อทั้งหลาย) ยุทธศาสตร์และปรัชญาการสอนต่างก็มีความสัมพันธ์กันและกันอย่างใกล้ชิด เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ หากไม่เปลี่ยนแปลงส่วนประกอบอื่นที่มีความสัมพันธ์กันด้วย (Fullan. 1985) ในขณะเดียวกันวิทยาการแขนงอื่นๆ ก็ได้รับการพัฒนาก้าวหน้าไปมาก เช่น วิทยาการด้านวิศวกรรม และวิทยาการด้านการจัดการ เป็นต้น ทำให้การพิจารณาสิ่งต่างๆ ในลักษณะของภาพรวมเริ่มพัฒนาขึ้น ทำให้มีการกล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาในมุมกว้างและลึกมากขึ้น และส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางการศึกษานี้ ได้มีผลกระทบต่อการพัฒนาแนวคิดด้านทางการศึกษาด้านต่างๆ รวมทั้งการกำหนดความหมาย และขอบข่ายงานของเทคโนโลยีการศึกษา ดังจะเห็นได้จากรายงานของสมาคม
เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ได้นำผลการสรุปแนวคิดของเทคโนโลยีการศึกษามานำเสนออย่างต่อเนื่อง เพื่อระดมความคิดให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ในปี 1988 อีลีและพรอมพ์ (Ely and Plomp. 1988) สรุปกันว่า เทคโนโลยีการศึกษานั้น ก็คือ การนำวิธีระบบเข้ามาใช้โดยมีขั้นตอนกว้างๆ ที่สำคัญ 5 ประการ คือ
1) การวิเคราะห์และการทำความเข้าใจปัญหา
2) การเลือกหรือออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา (จากตัวเลือกต่าง ๆ)
3) การพัฒนาวิธีการแก้ปัญหา
4) การทดสอบ ประเมินและปรับปรุงวิธีการ
5) การนำไปใช้และการควบคุมกำกับ
วิธีการของเทคโนโลยีการศึกษา สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. เทคโนโลยีการศึกษา : ระบบ โดยการใช้มโนทัศน์ และวิธีการต่างๆ ของทฤษฎีระบบ
และการวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) ในวิธีการของเทคโนโลยีการศึกษา โดยเฉพาะในขั้นของการวิเคราะห์ เราจะสามารถกำหนดความหมายของปัญหาได้ในลักษณะของระบบย่อย ดังนั้น ปัญหาที่ซับซ้อนต่างๆ ก็จะสามารถหาแนวทางแก้ไขได้โดยอาศัยหลักการของวิธีระบบ
2. เทคโนโลยีการศึกษา : วิธีการและเทคนิค ในแต่ละขั้นตอนของวิธีการเทคโนโลยีการ
ศึกษา เราสามารถใช้วิธีการและเทคนิคต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นการวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนาและการประเมิน ซึ่งเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นวัฏจักรของเทคโนโลยีอย่างมีลำดับ และวัฏจักรเหล่านี้ ต่างก็เป็นวิธีการพื้นฐานในกระบวนการออกแบบ ดังนั้น เทคโนโลยีการศึกษา จึงเป็นเทคนิคต่างๆ ในการออกแบบหรือวางแผนการตัดสินใจ
3. เทคโนโลยีการศึกษา : การจัดการ ในการใช้วิธีเทคโนโลยี จะทำให้เกิดแผนงานต่างๆ
ขึ้นมาในหน่วยงานหรือองค์กร ทั้งนี้เนื่องจากในการวิเคราะห์ปัญหานั้น ต้องใช้ความรู้และทักษะของแขนงวิชาต่างๆ เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ "ความชำนาญ" เพื่อจัดการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแผนงานหรือโครงการต่างๆ ขึ้นมาในหน่วยงาน แผนงานต่างๆ จัดว่าเป็นลักษณะหนึ่งของวิธีเทคโนโลยี ที่จัดขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาบนข้อจำกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเวลา งบประมาณ และบุคลากรก็ตาม
ขั้นตอนการปฏิบัติทางเทคโนโลยีการศึกษา
เมื่อวิเคราะห์โครงการที่ประสบผลสำเร็จ ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ปัญหาการศึกษาแล้ว จะพบว่า โครงการต่างๆเหล่านั้นมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้
1.ใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสมกับปัญหาและวิกฤติการณ์ทางการศึกษา
2. ใช้เทคโนโลยีโดยผ่านไปทางผู้เรียน มากกว่าที่จะผ่านไปทางผู้สอน กล่าวคือ มีการเน้นในการใช้เทคโนโลยีการเรียนมากกว่าเทคโนโลยีการสอน
3. เป็นเทคโนโลยีที่ราคาไม่แพง คำว่าราคาไม่แพงในที่นี้ หมายรวมไปถึงการคิดค่าใช้จ่ายแบบเฉลี่ยต่อหัวของผู้เรียนด้วย
4. เป็นสื่อและเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน หาง่าย และใช้สะดวก
5. เป็นเทคโนโลยี ที่เน้นในเรื่องการออกแบบระบบ บนพื้นฐานของการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอน
6. งานการใช้เทคโนโลยีจะประสบความสำเร็จในการจัดฝึกอบรม มากกว่าการนำไปใช้ในงานด้านการจัดการศึกษา
แนวทางในการนำเทคโนโลยีการศึกษา เข้ามาใช้แก้ปัญหาต่างๆ ทางการศึกษา ในลักษณะของการวิจัย การทดลอง และปรับปรุงหรือการวิจัยพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีการศึกษา ในลักษณะที่เป็นสื่อหรือผลผลิต (Product) หรือเป็นกระบวนการ (Process) ก็ตาม โดยเน้นที่กระบวนการออกแบบระบบการเรียนการสอนเป็นหลัก
หลักการดำเนินการ มีดังนี้
1. เริ่มต้นด้วยการกำหนดปัญหาที่ต้องแก้ไข ไม่ใช่เริ่มต้นที่สื่อหรือเครื่องมือที่จะใช้ การ
กำหนดสื่อที่จำเป็นต้องใช้นั้น จะเกิดขึ้นภายหลังการวิเคราะห์ปัญหา และการออกแบบระบบการสอนแล้วเทคโนโลยีการศึกษา ที่ใช้วิธีระบบในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน จะประสบผลสำเร็จมากขึ้น เมื่อเริ่มต้นพิจารณาปัญหาทั้งระบบ (โดยภาพรวม) ก่อน
2. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมของสถานที่ที่จัดการเรียนการสอน หมายถึง การเก็บรวบ
รวมวิเคราะห์ และศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมการศึกษา ทั้งภายในสถาบันการศึกษา ระบบงานและท้องถิ่น แล้วจึงวางแผนออกแบบระบบการเรียนการสอน มีการอบรมบุคลากรที่จะเข้าร่วมปฏิบัติงานในโปรแกรมที่ออกแบบวางแผนไว้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ระบบการจัดการ โปรแกรมที่ออกแบบวางแผนไว้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
3. การออกแบบระบบการเรียนการสอนและสื่อ ควรสะท้อนให้เห็นปรัชญา และยุทธศาสตร์
ที่จะใช้ในการดำเนินงานโปรแกรมด้วย สื่อ ปรัชญาและยุทธศาสตร์ที่ใช้ต้องมีความสัมพันธ์กัน
4. เน้นที่ผู้เรียน กล่าวคือ ในกระบวนการเรียนการสอนนั้น ต้องให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติใน
การเรียน (Active Participation) มีการให้ข้อมูลย้อนกลับและอื่นๆดังนั้น การนำเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาใช้ ต้องคำนึงถึงเรื่องวัสดุ เวลา สิ่งอำนวยความสะดวก การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียนและโอกาสในการลงมือปฏิบัติหรือมีส่วนร่วมด้วย
ผลการสรุปแนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษาของ ซีลส์ และ ริเช่ (Seels and
Richey. 1994) มาประกาศเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพด้านเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งทำให้เทคโนโลยีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา ถูกกำหนดตามกรอบแนวคิด 5 ประการ ดังนี้
1. การออกแบบ (Design) ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย คือ
1.1 การออกแบบระบบการสอน (Instructional System Design)
1.2 ออกแบบสาร (Message Design)
1.3 ยุทธศาสตร์การสอน (Instructional Strategies)
1.4 คุณลักษณะผู้เรียน (Learner Characteristics)
2.การพัฒนา (Development) ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย คือ
2.1 เทคโนโลยีสิ่งพิมพ์ (Print Technologies)
2.2 เทคโนโลยีโสตทัศน์ (Audiovisual Technologies)
2.3 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computer-based Technologies)
2.4 เทคโนโลยีบูรณาการ (Integrated Technologies)
3. การใช้ (Utilization)ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบย่อย คือ
3.1 การใช้สื่อ (Media Utilization)
3.2 การเผยแพร่นวัตกรรม (Diffusion of Innovations)
3.3 การนำไปใช้ และการจัดการ (Implementation and Institutionalization)
3.4 นโยบาย และข้อบังคับ (Policies and Regulations)
4. การจัดการ (Management)
4.1 การจัดการโครงการ (Project Management)
4.2 การจัดการแหล่งทรัพยากร (Resource Management)
4.3 การจัดการระบบส่ง (Delivery System Management)
4.4 การจัดการสารสนเทศ (Information Management)
5. การประเมิน (Evaluation)
5.1 การวิเคราะห์ปัญหา (ProblemAnalysis)
5.2 เกณฑ์การประเมิน (Criterion-referenced Measurement)
5.3 การประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation)
5.4 การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
มาตรา ๖๓
รัฐต้องจัดสรรคลื่นความถี่สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นต่อการ ส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรมตามความจำเป็น
มาตรา ๖๔
รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการผลิต และพัฒนาแบบเรียน ตำรา หนังสือทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์อื่นวัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่นโดยเร่งรัด พัฒนาขีดความ สามารถในการผลิตจัดให้มีเงินสนับสนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาทั้งนี้โดยเปิดให้ มีการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม
มาตรา ๖๕
ให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งด้านผู้ผลิต และผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
มาตรา ๖๖
เด็กไทยมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ในโอกาสแรกที่ทำได้เพื่อให้มีทักษะเพียงพอที่จะ ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต
มาตรา ๖๗
รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการ ศึกษา รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้ม ค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
มาตรา ๖๘
ให้มีการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา จากเงินอุดหนุนของรัฐ ค่าสัมปทานและผลกำไรที่ได้จากการดำเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรประชาชนรวมทั้งให้มีการลดอัตราค่าบริการเป็นพิเศษในการใช้ เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อการพัฒนาคนและสังคม
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อการผลิตการวิจัยและการพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๖๙
รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย แผน ส่งเสริมและประสานการวิจัย การพัฒนาและการใช้ รวมทั้งการประเมินคุณภาพ และประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
แหล่งอ้างอิงค์
http://www.kunkroo.com/techno.html www.kroobannok.com/1571
http://ektechno.multiply.com/journal/item/3
http://202.44.14.13/krugong/teachweb/seminaracrobat/article11.pdf
http://karnta.blogspot.com/2006/05/blogpost.html
http://karnta.blogspot.com/2006/05/blog-post.html

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น